วัตถุที่ใช้ทำจารึกมีหลายชนิด แต่มีลักษณะร่วมกันคือ แข็งแรง คงทนถาวร ฉะนั้นการบันทึกลายลักษณ์อักษรลงบนจารึก จึงต้องใช้เครื่องมือต่างกันไปตามชนิดของวัตถุที่นำมาใช้ทำจารึก แต่เครื่องมือนั้นต้องมีส่วนที่เหมือนกันประการหนึ่งคือ ความแข็งแรง และแหลมคม ในขณะจารึก การจารึกลายลักษณ์อักษรมีวิธีการดังนี้
๑. จารึกด้วยเหล็กสกัด
ในสมัยแรก ๆ อุปกรณ์การสร้างงานจารึกทำขึ้นอย่างง่าย ๆ ไม่มีรูปแบบแน่นอน แต่วัตถุที่ใช้ทำจารึกส่วนใหญ่ใช้ศิลาเนื้อแข็งมาก ๆ ได้แก่ หินดินดาน หินทราย เป็นต้น เมื่อตัดแท่งศิลาให้ได้รูปร่างตามต้องการแล้ว ต้องขัดพื้นผิวหน้าให้เรียบ แล้วใช้เหล็กสกัด ที่มีปลายแบนและแหลมคม เป็นเครี่องมือตอกสกัดลงไปในเนื้อศิลา ให้เป็นรูปลายลักษณ์อักษร การจารึกอักษรอย่างนี้ทำได้ ๒ วิธี คือ
๑.๑ จารึกโดยร่างข้อความไว้ก่อน จารึก โดยก่อนจารึกอักษร ต้องร่างข้อความที่จะจารึกบนแผ่นศิลาไว้ก่อน แล้วจึงสกัดด้วยเหล็ก ให้เป็นร่องลึกลงไปในเนื้อศิลา ให้เป็นรูปลายลักษณ์อักษร การจารึกด้วยวิธีนี้มีข้อสังเกตว่า บางส่วนของเส้นอักษรจะสูงเกินแนวเส้นบรรทัด ล้ำขึ้นไปถึงบรรทัดที่อยู่ตอนบน ซึ่งได้เว้นที่เป็นช่องว่างไว้ ไม่ให้เส้นอักษรจากบรรทัดล่างทับเส้นอักษรบรรทัดบน
๑.๒ จารึกโดยไม่ร่างข้อความไว้ก่อน โดยใช้เหล็กสกัดตอกลงไปในเนื้อศิลาให้เป็นรูป ลายลักษณ์อักษรทันที การจารึกด้วยวิธีนี้มีข้อสังเกตได้ว่า บางส่วนของเส้นอักษรที่ยาวเลยเส้นบรรทัด ล้ำลงไปถึงบรรทัดที่อยู่ตอนล่างนั้น จะเว้นที่เป็นช่องว่างไว้ และถ้าไม่ยาวลงมามากนัก ก็จะเปลี่ยนตำแหน่งการวางรูปอักษร หรือลดขนาดตัวอักษรลง ให้อยู่ในระดับที่พอดีกับเส้นบรรทัด
๒. จารึกด้วยเหล็กจาร
กลุ่มจารึกทำจากวัตถุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ศิลา เช่น จารึกที่ทำจากไม้และโลหะชนิดต่างๆ เนื้อวัตถุไม่แข็งมาก และบางกว่าศิลา การบันทึกลายลักษณ์อักษร จึงไม่ใช้วิธีสกัด แต่จะใช้เหล็กที่มีปลายแหลมคม เรียกว่า เหล็กจาร เขียนลายลักษณ์อักษรลงบนแผ่นวัตถุนั้นทันที เช่น จารึกลานทอง จารึกพระพิมพ์ดินเผา เป็นต้น
๓. จารึกด้วยวิธีอื่น ๆ
เป็นการจารึกลายลักษณ์อักษรด้วยวิธีอื่น โดยไม่ใช้เหล็กสกัด และเหล็กจาร แต่บันทึกลายลักษณ์อักษร ด้วยวิธีเขียนหรือชุปลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏอยู่บนวัตถุ ได้แก่ ไม้ ดินเผา ฝาผนังพระอุโบสถ เป็นต้น จารึกเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่กับงานจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ ตู้ลายรดน้ำเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น ซึ่งอนุโลมเรียกว่า จารึก หรืออักษรจารึก เช่นเดียวกัน
การวางรูปอักษรในจารึก
จะเริ่มต้นจาก ซ้ายไปขวา และเรียงตามลำดับจากข้างบนลงมา ข้างล่าง นอกจากนั้นยังพบว่า มีการตีเส้นบรรทัด เป็นแนววางตัวอักษร สมัยแรกวางตัวอักษรใต้เส้นบรรทัดมาตลอด ตัวอย่างเช่น จารึกเจดีย์ วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ปรากฏเส้นบรรทัด ขีดลึกลงไปในเนื้อศิลา เป็นแนวทุกบรรทัด ความนิยมในการเขียนอักษรใต้เส้นบรรทัดมีอยู่ตลอดมา จนถึงปลายรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อรูปแบบการเขียนอักษรโรมันของชาวยุโรป ได้เข้ามาแพร่หลายในประเทศ การเขียนอักษรบนเส้นบรรทัด ตามแบบอย่างอักษรโรมัน จึงได้เริ่มมีขึ้น และเป็นที่นิยมเรื่อยมา จนถึงปลายรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การเขียน อักษรใต้เส้นบรรทัดก็หมดไป ปัจจุบัน คนไทยไม่ใช้วิธีการเขียนอักษรใต้เส้นบรรทัด อย่างเดิมอีกแล้ว